พูดถึงกาแฟบราซิลนี่ต้องบอกเลยว่าคอกาแฟทั่วโลกต้องรู้จัก เพราะมันจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมัน และมีรสชาติที่หลากหลายมาก บางทีก็หวานนุ่มละมุนลิ้น บางทีก็เข้มข้นบึกบึน วันนี้จะพาไปรู้จักกาแฟบราซิลให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ หรือสายพันธุ์กาแฟที่น่าสนใจ พร้อมขุดเบื้องลึกเบื้องหลังของประวัติศาสตร์ 100 กว่าปีของกาแฟบราซิลที่ทำให้ประเทศบราซิลกลายเป็นผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ที่สุดของโลก! ใครที่เป็นคอกาแฟตัวจริงต้องไม่พลาด!
กาแฟบราซิล คืออะไร
กาแฟบราซิล (Brazil Coffee) เป็นหนึ่งในกาแฟที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและเป็นที่รู้จักกันดีในวงการกาแฟทั่วโลก เนื่องจากบราซิลเป็นประเทศผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ที่สุดในโลกมากว่า 150 ปี และยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้านการผลิตกาแฟมากที่สุดในโลกจนถึงปัจจุบัน กาแฟบราซิลมีความหลากหลายทั้งในเรื่องของรสชาติและคุณภาพ ซึ่งขึ้นอยู่กับพื้นที่ปลูก พันธุ์กาแฟ และกระบวนการผลิตที่มีความละเอียดและพิถีพิถัน
ไทม์ไลน์ความเป็นมาและต้นกำเนิดของกาแฟบราซิล
- 1727s – การปลูกกาแฟครั้งแรกในบราซิล เริ่มต้นที่ภาคเหนือของประเทศ โดยเฉพาะในรัฐปารา (Pará) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ เซบาสเตียว เดอ ปัลเฮตา (Sebastião de Palheta) ได้นำต้นกาแฟมาจากฝรั่งเศสและปลูกในพื้นที่นี้ เพื่อการบริโภคภายในประเทศเท่านั้น
- 1776s – การขยายการปลูกกาแฟ การปลูกกาแฟเริ่มขยายไปยังรัฐอื่น ๆ โดยเริ่มจาก ริโอเดอจาเนโร และขยายต่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงใต้ของบราซิล
- 1820s – กาแฟเริ่มเป็นสินค้าส่งออกหลัก บราซิลเริ่มส่งออกกาแฟไปยังต่างประเทศ ทำให้กาแฟเริ่มกลายเป็นสินค้าการเกษตรหลักของประเทศ
- 1930s – วิกฤตเศรษฐกิจโลกและนโยบายกาแฟ บราซิลต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจจากการล่มสลายของราคากาแฟในตลาดโลก รัฐบาลบราซิลเริ่มใช้มาตรการควบคุมการผลิตและส่งออกกาแฟ เช่น การทำลายสต็อกกาแฟส่วนเกินเพื่อรักษาราคา
- 1980s-1990s – การขยายการผลิตและเทคโนโลยีใหม่ บราซิลเริ่มนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการปลูกและแปรรูปกาแฟอย่างมีประสิทธิภาพ การส่งออกกาแฟของเมล็ดกาแฟบราซิลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นผู้นำตลาดกาแฟโลก
- 2000s – เริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้นในฐานะกาแฟพรีเมียม ซึ่งสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ ด้วยการมีบาริสต้าและการแนะนำวิธีการชงกาแฟใหม่ ๆ ที่มุ่งเน้นที่การสกัดรสชาติที่ดีที่สุดจากกาแฟแต่ละเมล็ด
- ปัจจุบัน – บราซิลยังคงเป็นผู้นำการผลิตกาแฟ บราซิลยังคงเป็นผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็นประมาณ 40% ของการผลิตกาแฟทั้งหมด กาแฟบราซิลได้รับความนิยมในตลาดโลก โดยเฉพาะกาแฟพันธุ์อาราบิก้า (Arabica) ที่มีคุณภาพสูง
สายพันธุ์เมล็ดกาแฟบราซิล มีอะไรบ้าง?
ด้วยความหลากหลายของสภาพภูมิประเทศและระดับความสูง บราซิลจึงสามารถผลิตกาแฟได้ทั้ง อาราบิก้า (Arabica) และ กาแฟโรบัสต้า (Robusta) ซึ่งเป็นพันธุ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เมล็ดกาแฟอาราบิก้าจะปลูกหลัก ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ และคิดเป็น 75% ของการผลิตทั้งหมด ส่วนกาแฟโรบัสต้าจะปลูกในภาคตะวันตกเฉียงเหนือและคิดเป็น 25% ของการผลิตทั้งหมด
พันธุ์อาราบิก้าหลักที่ปลูก ได้แก่:
-
Typica (ทิปิกา): เป็นพันธุ์ดั้งเดิม มีขนาดเมล็ดใหญ่ รสชาติหวาน กลมกล่อม เป็นที่นิยมใช้ในการผสมพันธุ์เพื่อพัฒนาพันธุ์กาแฟสายพันธุ์ใหม่ๆ
-
Bourbon (บูร์บอน): มีต้นกำเนิดจากเกาะเรอูนียง มีขนาดเมล็ดปานกลาง รสชาติหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอมดอกไม้
-
Caturra (คาทูร์รา): เป็นพันธุ์ลูกผสมของ Bourbon มีขนาดต้นเล็กกว่า ทำให้เก็บเกี่ยวได้ง่าย เมล็ดขนาดเล็ก รสชาติหวาน
-
Maragogype (มาราโกจิเป): เป็นพันธุ์กลายพันธุ์ของ Typica มีเมล็ดขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาพันธุ์อาราบิก้า รสชาติเข้มข้น
พันธุ์โรบัสต้าหลักที่ปลูก ได้แก่:
- Robusta (โรบัสต้า): เป็นพันธุ์ที่รู้จักกันดีทั่วไป มีคาเฟอีนสูง รสชาติขม เข้มข้น ทนต่อโรคและแมลงได้ดี
- Conilon (โคนิลอน): เป็นพันธุ์ที่พบมากในบราซิล มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งและดินที่ไม่ดีนัก รสชาติคล้ายกับโรบัสต้าแต่มีขนาดเมล็ดเล็กกว่า
กาแฟบราซิล มีรสชาติอย่างไร และกาแฟบราซิล ชนิดไหนดีที่สุด?
ภูมิประเทศที่หลากหลายของบราซิลทำให้รสชาติกาแฟในแต่ละภูมิภาคมีความแตกต่างและมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ นอกเหนือจากพื้นที่ปลูกที่ส่งผลต่อรสชาติกาแฟแต่ละสายพันธุ์อีกด้วย เช่น สภาพอากาศ และวิธีการแปรรูป แต่ถ้าหากให้นิยามรสชาติและกลิ่นหอมของกาแฟบราซิลที่พบได้บ่อย
- กาแฟโรบัสต้า ที่ปลูกในพื้นที่ทุ่งหญ้ามักจะมีรสชาติเข้มข้นกว่า มีกลิ่นดินเบา ๆ ออกไปแนวกลิ่นเฮเซลนัท (Hazelnut) คล้ายกับกลิ่นของถั่วที่ผ่านการคั่วจนหอม ผสมกลิ่นช็อกโกแลตที่มีทั้งความหอมหวานและขมเล็กน้อย
- กาแฟอาราบิก้า ปลูกในพื้นที่สูง มีรสชาติที่ละเอียดอ่อนกว่า กลิ่นที่ออกแนวกูร์เมต์ (Gourmet) มีความหวาน และมีกลิ่นของดอกไม้และผลไม้ รวมถึงกาแฟที่มีรสชาติซับซ้อน ซึ่งแตกต่างจากกาแฟบราซิลทั่วไปอย่างสิ้นเชิง โดยทั่วไปแล้วกาแฟอาราบิก้าจึงถือว่ามีคุณภาพสูงกว่าเนื่องจากมีรสชาติที่ซับซ้อน ทำให้มีราคาแพงกว่าโรบัสต้านั่นเอง
เคล็ดลับในการชงกาแฟบราซิลให้รสชาติอร่อย
1. เลือกกาแฟที่คั่วสดใหม่จากบราซิล (Arabica เป็นพันธุ์หลักที่นิยมในบราซิล) และบดกาแฟเพียงพอที่จะใช้ในการชงเท่านั้นเพื่อคงความสดใหม่2. อย่าบดกาแฟทิ้งไว้เกินหนึ่งหรือสองวัน เพราะกาแฟบดจะสูญเสียรสชาติและความหอมได้อย่างรวดเร็ว
3. การใช้สัดส่วนกาแฟและน้ำที่เหมาะสม โดยใช้สัดส่วนกาแฟ 1 กรัม : น้ำ 15-16 กรัม จะช่วยให้กาแฟได้รสชาติที่กลมกล่อมและไม่ขมเกินไป การใช้น้ำมากหรือน้อยเกินไปจะทำให้รสชาติของกาแฟเปลี่ยนแปลงไปตามสัดส่วนที่ผิด
3. การควบคุมอุณหภูมิของน้ำ ใช้น้ำร้อนที่อุณหภูมิ 90-96°C เพื่อไม่ให้ร้อนเกินไปซึ่งจะทำให้กาแฟขมเกินไป หรือเย็นเกินไปที่ไม่สามารถสกัดรสชาติจากกาแฟได้เต็มที่ อีกทั้งการรินน้ำที่อุณหภูมิที่เหมาะสมจะช่วยให้กาแฟไม่สูญเสียกลิ่นหอมและรสชาติที่ดีที่สุด
4. หลีกเลี่ยงการใช้น้ำที่มีรสชาติหรือกลิ่นแปลกปลอม เช่น น้ำที่มีรสชาติ กลิ่นของคลอรีน หรือแร่ธาตุ จะทำให้รสชาติของกาแฟเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ควรใช้น้ำที่สะอาดและมีรสชาติเป็นกลาง
5. ไม่รีบร้อนในการรินน้ำ การรินน้ำแบบช้า ๆ เป็นสิ่งสำคัญในการดึงรสชาติที่ดีจากกาแฟ การเร่งการรินน้ำจะทำให้กาแฟสูญเสียรสชาติที่ดี
วิธีการชงกาแฟบราซิลนิยมชงแบบไหน? ชงยังไงให้อร่อย พร้อมสูตรแบบละเอียด!
ในบราซิล "Café Coado" หรือที่เรียกกันว่า กาแฟกรอง (หรือที่บางครั้งเรียกในภาษาอังกฤษว่า "Filter Coffee") เป็นวิธีการชงกาแฟที่คนบราซิลนิยมมากที่สุด โดยเฉพาะในบ้านหรือในครอบครัว เพราะวิธีนี้ทำให้ได้กาแฟรสชาติที่สดชื่น กลมกล่อม และสะอาด ซึ่งเหมาะสำหรับการดื่มทุกช่วงเวลาในวัน หลักการของการชงกาแฟกรองคือการกรองน้ำร้อนผ่านกาแฟบด โดยใช้อุปกรณ์อย่างเช่น ดริปเปอร์ และกระดาษกรอง ทำให้ได้กาแฟที่ไม่มีกากและมีรสชาติบริสุทธิ์ วิธีนี้คล้ายกับการชงกาแฟดริปที่หลายคนคุ้นเคย แต่ในบราซิลเรียกว่ากาแฟกรอง
เหตุผลที่กาแฟกรองเป็นที่นิยมในบราซิล คือ วิธีนี้สามารถในการควบคุมปัจจัยต่าง ๆ เช่น อุณหภูมิของน้ำ ขนาดการบด และเวลาในการสกัด ทำให้ได้รสชาติที่หลากหลายและตรงตามความชอบของผู้ดื่ม นอกจากนี้ การชงกาแฟกรองยังเป็นวิธีที่ค่อนข้างง่าย ทำให้ใคร ๆ ก็สามารถทำได้ที่บ้าน
วัตถุดิบและส่วนผสม
- กระดาษกรอง (กรวยกระดาษ)
- กาแฟบด (การบดจะต้องละเอียดปานกลาง)
- น้ำร้อน (อุณหภูมิประมาณ 90-96°C)
- ตัวกรองกาแฟ (เช่น เครื่องกรองกาแฟแบบ V60 หรือเครื่องกรองแบบที่ใช้กันทั่วไปในบราซิล)
- แก้วเสิร์ฟ
วิธีทำ
1. การเตรียมกรองและน้ำ: ใส่กระดาษกรองในตัวกรองกาแฟ (ถ้าใช้กระดาษกรอง) และรินน้ำร้อนผ่านกระดาษกรองก่อน เพื่อทำความสะอาดและอุ่นตัวกรอง จากนั้นทิ้งน้ำที่รินออกไป พร้อมเตรียมน้ำร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 90-96°C
2. การบดกาแฟ: บดกาแฟให้ละเอียดปานกลาง (เหมือนเกลือหยาบ) ซึ่งช่วยให้การสกัดกาแฟออกมาได้ดี โดยใช้ กาแฟ 1 กรัม : น้ำ 15-16 กรัม (ประมาณกาแฟ 20 กรัมต่อน้ำ 300 มิลลิลิตร)
3. การวางกาแฟ: ใส่กาแฟบดลงในกระดาษกรองและกดให้เรียบ
4. เริ่มรินน้ำ: การรินน้ำลงในกาแฟในลักษณะเป็นวงกลมช้า ๆ รินน้ำเพียงเล็กน้อยในช่วงแรก (ประมาณ 30 มิลลิลิตร) เพื่อให้กาแฟได้ "บาน" และปล่อยก๊าซออกมา ซึ่งจะช่วยให้รสชาติของกาแฟมีความสดชื่นและสมดุล หลังจากนั้น รินน้ำต่อไปจนกว่าจะครบปริมาณน้ำที่ต้องการ (ประมาณ 300 มิลลิลิตร) ควรใช้เวลาในการรินน้ำประมาณ 3-4 นาที และระวังไม่ให้การรินน้ำเร็วเกินไป เพราะจะทำให้กาแฟไม่สกัดออกมาอย่างเต็มที่
5. เสิร์ฟกาแฟ: หลังจากน้ำทั้งหมดได้ผ่านกาแฟไปแล้ว ให้ยกกรองออกจากเหยือกหรือถ้วย พร้อมเสิร์ฟ!
ทำกาแฟบราซิลง่าย ๆ อร่อยกว่าเดิม เพียงมีเครื่องชงกาแฟ BENO
แม้ว่าวิธีการชงกาแฟบราซิลแบบวิธีดั้งเดิมอาจจะมีขั้นตอนที่ละเอียดไปนิด แต่ก็เรียกได้ว่าคุ้มค่าสำหรับคนรักการดื่มกาแฟบราซิลอย่างแท้จริง ในวันที่รีบร้อน ไม่มีเวลามาดริปกาแฟ สามารถใช้เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ BENO ที่มีความสามารถในการปรับตั้งอุณหภูมิของน้ำ ขนาดการบด และปริมาณกาแฟได้อย่างแม่นยำ ทำให้ได้รสชาติของกาแฟที่ใกล้เคียงกับการดริปแบบมืออาชีพ อีกทั้งยังสามารถตั้งเวลาในการชงล่วงหน้าได้ ทำให้คุณมีกาแฟหอมกรุ่นพร้อมดื่มในตอนเช้าได้อย่างสะดวกสบาย แม้จะใช้เครื่องชงอัตโนมัติ แต่ก็ยังคงรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของกาแฟบราซิลได้อย่างครบถ้วน ช้อปอุปกรณ์ชงกาแฟชิ้นใดก็ได้วันนี้รับส่วนลดสุดคุ้มเพิ่ม 200 บาท เมื่อใช้โค้ด BENOA200 ที่ Shopee Thailand ไปใช้กันเยอะ ๆ เลย!