“ร่างกายต้องการคาเฟอีน ร่างกายต้องการกาแฟ” คำพูดสุดฮิตของชาวออฟฟิศในทุก ๆ เช้าก่อนเข้าทำงาน บางคนถึงกับทำงานไม่ได้ถ้าไม่ได้ดื่มกาแฟก่อนเริ่มทำงานกันเลยทีเดียว ทำไมต้องมีกาแฟติดโต๊ะทำงานไว้ทุกวัน? นั่นเป็นเพราะกาแฟมีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า และมีสมาธิมากขึ้นในการทำงาน เราไปรู้จักคาเฟอีนในกาแฟให้มากขึ้นดีกว่าว่า คาเฟอีนทำงานในร่างกายยังไง? ทำไมมันถึงทำให้เราตื่นตัว จริง ๆ แล้วปริมาณคาเฟอีนที่ควรได้รับต่อวันคือเท่าไหร่? ตอบครบทุกเรื่องเกี่ยวกับคาเฟอีน!
คาเฟอีน คืออะไร?
คาเฟอีน (Caffeine) สารสำคัญที่หลายคนรู้จักนั้น คือสารที่พบได้ในเมล็ดกาแฟ เมล็ดโกโก้ เมล็ดโคล่า ใบชา และพืชบางชนิด เป็นสารที่พืชสร้างขึ้นมาตามธรรมชาติเพื่อป้องกันตัวเองจากศัตรูพืช ซึ่งคาเฟอีนในกาแฟมีโครงสร้างคล้ายกับสารสื่อประสาทที่ชื่อว่า อะดีโนซีน (Adenosine) เป็นสารเคมีในสมองที่ยับยั้งความตื่นตัวและทำให้เรารู้สึกง่วงนอน เมื่อดื่มกาแฟเข้าไปแล้วร่างกายได้รับสารคาเฟอีนส่งผลให้ไปขัดขวางอะดีโนซีน ทำให้ร่างกายไม่ง่วง และตื่นตัวขึ้นมานั่นเอง!
คาเฟอีน มีกี่ประเภท อะไรบ้าง?
โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ คาเฟอีนจากธรรมชาติ (Natural Caffeine) และ คาเฟอีนสังเคราะห์ (Synthetic Caffeine) ทั้ง 2 ประเภทนี้มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางเหมือนกัน แต่แหล่งที่มาและวิธีการที่ร่างกายดูดซึมอาจแตกต่างกันไปเล็กน้อย
1. คาเฟอีนจากธรรมชาติ (Natural Caffeine)
พบได้ในพืชหลายชนิด เช่น เมล็ดกาแฟ ใบชา เมล็ดโกโก้ ถั่วโคล่า โดยคาเฟอีนจากธรรมชาติมักจะมาพร้อมกับสารอาหารอื่น ๆ เช่น วิตามิน แร่ธาตุ ซึ่งอาจช่วยลดผลข้างเคียงของคาเฟอีนได้บ้าง
2. คาเฟอีนสังเคราะห์ (Synthetic Caffeine)
เป็นคาเฟอีนที่ผลิตขึ้นในห้องปฏิบัติการผ่านกระบวนการทางเคมี มีลักษณะบริสุทธิ์ และมักพบในเครื่องดื่มชูกำลัง หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิด คาเฟอีนสังเคราะห์จะดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เร็ววและมีปริมาณที่สูงกว่าคาเฟอีนจากธรรมชาติ และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้มากกว่า
ประโยชน์ของคาเฟอีน
1. ช่วยลดน้ำหนัก
คาเฟอีนช่วยลดน้ำหนักได้ เพราะการที่ร่างกายได้รับคาเฟอีนเข้าไปนั้นมีส่วนช่วยให้ร่างกายเพิ่มอัตราการเผาผลาญให้มากขึ้นได้ เมื่อร่างกายได้รับสารคาเฟอีนในกาแฟที่ดื่มแล้วนั้นจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างความร้อนและพลังงานจากการย่อยอาหารได้มากขึ้น นอกจากนี้ คาเฟอีนยังมีส่วนช่วยระงับความอยากอาหารและลดความต้องการอาหารชั่วคราวอีกด้วย ใครอยากรู้ว่าดื่มกาแฟลดน้ำหนักอย่างไรให้เห็นผล ดื่มช่วงเวลาไหนดีสุด ไปอ่านต่อกันได้เลยที่
2. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
เหตุผลหลักของการดื่มกาแฟเพื่อเติมคาเฟอีนให้กับร่างกายสำหรับใครหลาย ๆ คน คงไม่พ้นสิ่งเหล่านี้ “อยากตื่นตัว มีสมาธิกับการทำงาน เริ่มต้นวันใหม่ได้แบบมีประสิทธิภาพ” คาเฟอีนในกาแฟที่ชาวออฟฟิศดื่มกันในทุก ๆ วันมีส่วนช่วยในเรื่องเพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาทในสมองที่ทำให้เรามีความสุข มีสมาธิ มีพลังงาน ลดความอ่อนล้า ลดความง่วง กระปรี้กระเปร่า รู้สึกดีในขณะจดจ่อกับกับทำงานในแต่ละวันหลังได้รับคาเฟอีนจากการดื่มกาแฟนั่นเอง
3. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของร่างกาย
คาเฟอีนนอกจากจะช่วยเพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาทในสมองอย่างโดพามีนแล้ว ยังมีการกระตุ้นการทำงานของอะดรีนาลีนให้มากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อร่างกายขณะออกกำลังกายได้ดี เพราะมีส่วนช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ตื่นตัว ทนทานและเหนื่อยช้าลง
4. ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรัง
ถ้าคุณเป็นคนที่รักสุขภาพตัวเอง หรือห่วงใยสุขภาพของคนรอบข้าง คาเฟอีนในกาแฟอาจเป็นตัวช่วยเสริมอีกอย่างนอกจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การพักผ่อนที่เพียงพอ หรือการออกกำลังกายเพื่อรักษาสุขภาพให้ดี คาเฟอีนจะไปกระตุ้นการทำงานของสมอง มีผลต่อการตอบสนองของระบบประสาท ทำให้ลดความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสันที่เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของสมอง นอกจากนี้ในคาเฟอีนยังมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรงมะเร็งด้วย
ปริมาณคาเฟอีนต่อวัน ควรได้รับวันละเท่าไหร่
ปริมาณคาเฟอีนที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น น้ำหนัก อายุ สุขภาพ และความไวต่อคาเฟอีน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ระบุว่า ผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรงควรบริโภคคาเฟอีนไม่เกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเท่ากับกาแฟ 2-3 แก้ว (ขนาด 12 ออนซ์) ซึ่งถือเป็นปริมาณที่เหมาะสมและไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง
ปริมาณคาเฟอีนในเครื่องดื่มแต่ละประเภท
ปริมาณคาเฟอีนในเครื่องดื่มแต่ละประเภท ขนาด 12 ออนซ์ (355 มล.) อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องดื่มและวิธีการเตรียม
เครื่องดื่ม |
ปริมาณคาเฟอีนโดยประมาณ (มิลลิกรัม) |
กาแฟดำ |
90-150 |
กาแฟเอสเพรสโซ (Espresso) |
150-200 (ขึ้นอยู่กับจำนวนช็อต) |
กาแฟลาเต้ (Latte) |
70-120 |
กาแฟคาปูชิโน่ (Cappuccino) |
70-120 |
ดริปกาแฟ (Drip Coffee) |
120-180 |
ชาดำ (Black Tea) |
30-70 |
ชาเขียว (Green Tea) |
20-50 |
ชาเย็น (Iced Tea) |
30-50 |
เครื่องดื่มชูกำลัง (Energy Drink) |
80-150 |
คาเฟอีนในกาแฟมีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษเลยหรอ?
แม้ว่าคาเฟอีนจะมีประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน แต่การบริโภคคาเฟอีนในปริมาณมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน เนื่องจากคาเฟอีนสามารถกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ วิตกกังวล หรือแม้กระทั่งใจสั่นได้ นอกจากนี้ ยังอาจทำให้เกิดอาการปวดหัว หรือกระเพาะอาหารระคายเคือง เนื่องจากคาเฟอีนสามารถเพิ่มกรดในกระเพาะอาหารได้ ในบางกรณีการดื่มคาเฟอีนมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายเกิดการติดคาเฟอีน ซึ่งเมื่อขาดคาเฟอีนจะทำให้เกิดอาการปวดหัว มึนงง และอ่อนเพลียตามมาได้ ดังนั้น จึงควรบริโภคคาเฟอีนในปริมาณที่พอเหมาะและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล พร้อม ๆ กับการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำเปล่าสะอาด 8 – 10 แก้วต่อวัน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน
ควบคุมปริมาณคาเฟอีน ตื่นตัวได้แบบไม่ทำลายสุขภาพ
ใครที่รู้สึกว่าร่างกายต้องการคาเฟอีน แต่ก็กังวลเรื่องผลข้างเคียงของคาเฟอีน การเลือกดื่มกาแฟ Decaf ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี ทำให้เพลิดเพลินกับกาแฟได้อย่างสบายใจ ทั้งนี้ทั้งนั้น สำหรับคอชากาแฟ อย่าลืมควบคุมปริมาณคาเฟอีนในแต่ละวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนในปริมาณที่เหมาะสม พร้อมเลือกซื้ออุปกรณ์ชงกาแฟมากมายหลายประเภทจากแบรนด์ Beno ไม่ว่าจะเป็นเครื่องชงกาแฟแบบแคปซูล เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ หรืออุปกรณ์ชงกาแฟอื่น ๆ อีกมากมาย มั่นใจในคุณภาพ ทำให้คุณได้อิ่มอร่อยกับกาแฟรสชาติเข้มข้น หอมกรุ่น แถมควบคุมปริมาณคาเฟอีนในกาแฟได้ตามต้องการ ช้อปเลยที่ Shopee อย่าลืมใส่โค้ด BENOA200 เพื่อรับส่วนลดเต็ม ๆ 200 บาท สำหรับคุณเท่านั้น รีบเลยก่อนโค้ดหมด!